อาหารแก้ปวดศรีษะไมเกรน
ในสังคมยุคปัจจุบัน ความเครียดเปรียบเสมือนที่เป็นเงาตามตัวติดเราไปทุกฝีก้าวทุกที่ทุกเวลา มากบ้างน้อยบ้างต่างไปแต่ละวัน ความเครียดจะส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ความเครียดที่ส่งต่อร่างกายนั้นจะแสดงอาการออกที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะแสดงที่ที่สำคัญคือปวดศรีษะตุบ ๆ เมื่อเจอปัญหาหนัก ส่วนความเครียดทางจิตใจ ก็พร้อมจะแสดงอาการเช่นเดียวกับความเครียดทางกายเช่นกัน เริ่มจากความรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือกังวลเรื่องรอบตัว ไม่แน่ใจความรักที่จะได้รับจากครอบครัว ล้วนแต่เป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรปลดปล่อยตัวเองจากความเครียด โดยอาจจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น หรือให้หยุดพักบ้างและอาการเหล่านี้ถ้าสะสมไว้นาน ๆ ก็จะนำมาซึ่งปวดศรีษะไมเกรนได้ (Migraine headache) ซึ่งถ้าใครได้เป็นแล้ว จะรู้สึกทรมานมาก จนไม่สามารถจะทำอะไรได้เลยในช่วงที่ปวดไมเกรน
ปวดศีรษะมีหลายชนิดแต่ถ้าจะแบ่งออกอย่างกว้างๆมี 2 ชนิดคือ
1.ปวดไมเกรนกับปวดหัวแบบระเบิดลักษณะจะรู้สึกตื้อๆในหัวแล้วจะเริ่มปวดทุกๆบริเวณขมับและดวงตาบางคนการปวดหัวจะขยายไปถึงต้นคอถ่วงแขนได้ ถ้าเป็นมากๆและเป็นเรื้อรังผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนด้วย ลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยหัวไมเกรนอีกอย่างหนึ่งก็คือ
2.ความอ่อนไหวของการถ้าเจอแสงสว่างจ้าน้ำตาจะไหลมากและจะเริ่มรู้สึกปวดหัว หรือบางคนโดนแดดร้อนจัดก็จะปวดไมเกรนได้ หรือบางครั้งถ้าได้ยินเสียงแหลมแหลมดังมากๆ ก็จะปวดหัวได้เหมือนกันและในช่วงที่กำลังปวดไมเกรนจะไม่อยากได้ยินเสียงดังมากระทบเลยจะทำให้ปวดมากขึ้น
ทาง SN Food อาหารเพื่อสุขภาพ ขอแนะนำว่าถ้า ถ้าเรารู้สึกว่าปวดไมเกรนบ่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง เราควรมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง ทางเราจะขอแนะนำในเรื่องการเปลี่ยนพฤติกรรมในเรื่องทานอาหารบางอย่างบ้าง เช่น
1.แอลกอฮอล์ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดหัวได้ นอกจากนี้พบว่าในไวน์แดง เบียร์ วิสกี้ และแชมเปญ มักจะเกี่ยวข้องกับอาการปวดหัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งไมเกรนอีกด้วยดังนั้นควรหลีกเลี่ยง
- ผงชูรส จะไปกระตุ้นให้เซลล์ของผนังหลอดเลือดหลั่งสารไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่จะทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัวนำไปสู่อาการปวดศีรษะได้
3.กาแฟอีน เป็นสารที่พบในกาแฟชาโซดาและช็อกโกแลตกาแฟอีนสามารถกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้ และยังสามารถช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ขึ้นอยู่กับขนาดและความถี่ของการใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะ ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม อาหาร หรือยาที่มีส่วนประกอบของกาแฟอีน
- สารกันบูดที่ใช้ในการถนอมอาหาร กลไกการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารไนตริกออกไซด์หรือสารที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว
ดังนั้น คนที่ปวดศรีษะไมเกรนควรจะเลือกการรับประทานอาหารที่ดีถูกต้องเลือกสารอาหารที่เป็นอาหารที่ปรุงสุก สด ทานผักและผลไม้หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านขั้นตอนการแช่แข็ง ซึ่งอาจจะมีส่วนประกอบที่ก่อให้เกิดปัจจัยไมเกรนก็เป็นได้เราขอแนะนำ
- ขิง การรับประทานขิงสามารถลดอาการปวดไมเกรนได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ เพราะขิงมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบลดอาการปวดในร่างกายช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะช่วย ในการผ่อนคลายขยายหลอดเลือดและยังช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น ด้วยเพียงแค่น้ำขิงผสมน้ำตาลทรายแดง ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดศรีษะไมเกรนได้
3.บร็อกโคลี่ เป็นผักที่มีแมกนีเซียมสูง ช่วยลดอาการไมเกรนลงได้ ได้มีการศึกษาพบว่าบร็อกโคลี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคร้ายอย่างมะเร็ง ทั้งโรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม กระเพาะปัสสาวะ และยังเพิ่มภูมิคุ้มกันกับร่างกาย
- อัลมอนด์ อุดมไปด้วยโปรตีนสูงแคลเซียม ไรโบฟลาวิน และแมกนีเซียม ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน ทั้งยังช่วยบำรุงในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังมีกรดไขมันใน โอเมก้า 3 จึงช่วยบำรุงประสาท บำรุงสมอง ช่วยผ่อนคลายจากความตึงเครียด
5.กล้วย กล้วยหอม เป็นผลไม้ที่มีแมกนีเซียมสูงมาก จึงสามารถช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยแก้อาการนอนไม่หลับเพราะในกรดอะมิโนและทริปโตเฟน ที่จะช่วยคลายเครียดและรู้สึกผ่อนคลายขึ้นจึงทำให้นอนหลับสบายตลอดคืน
6.แซลมอน เป็นปลาที่มีโอเมก้า 3 สูง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบและลดอาการปวดได้ อีกทั้งยังช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นลดการแข็งตัวของเลือด ช่วยบำรุงประสาท ลดอาการปวดไมเกรนได้ดี
7.ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ดังนั้นคนที่รู้สึกว่าป่วยปวดศรีษะไมเกรนควรคำนึงถึงการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องถือว่าเป็นขบวนการรักษาเปรียบได้กับยาที่ใช้สู้กับผลพวงของความเครียดและฟื้นคืนความสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจคงไม่ยากเกินไปถ้าจะหันใจหันไปหันมาใส่ใจตัวเองเพื่อฟื้นคืนความสงบและปรับจังหวะชีวิตใหม่ให้ลงตัวขึ้นเรียนรู้จักการผ่อนคลายด้วยแผนการรับมือปัญหาต่างๆในระยะยาวและหาวิธีผ่อนคลายให้ได้ผลอย่างรวดเร็วในเวลาที่ต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน SN food อาหารเพื่อสุขภาพ ขอแนะนำว่า
และควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุราสูบบุหรี่ใช้ยาเสพติดหรือสารกระตุ้น ซึ่งรังแต่จะก่อให้เกิดอันตรายได้ในภายหลัง