เผยประโยชน์ และโทษ ของ ข้าวโอ๊ต
ก่อนจะบอกว่าข้าวโอ๊ต (Oat) เป็นอาหารที่มีประโยชน์ และมีโทษอย่างไร ขอเล่าความเป็นมาก่อนว่าข้าวโอ๊ตที่ปลูกในปัจจุบันพัฒนามาจากข้าวโอ๊ตแดงป่า ซึ่งเป็นพืชที่มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชีย ข้าวโอ๊ตถูกนำไปปลูกในหลาย ๆ พื้นที่ทั่วโลกเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน ก่อนที่จะนำมาเป็นอาหารข้าวโอ๊ตถูกนำมาใช้ในการปรุงยาและรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ในเวลาต่อมาก็มีการนำข้าวโอ๊ตไปปลูกที่ยุโรปกันอย่างกว้างขวาง และได้กลายเป็นพืชเพื่อการค้าสำคัญ ข้าวโอ๊ตกลายเป็นอาหารที่สำคัญของหลาย ๆ ประเทศ เช่น สกอตแลนด์ เกรทบริเทน เยอรมนี และประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ในต้นศตวรรษที่ 17 ชาวสก๊อตได้นำข้าวโอ๊ตติดตัวไปด้วยเมื่อพวกเขาย้ายไปต่างถิ่นฐานที่ทวีปอเมริกาเหนือ จนทำให้ข้าวโอ๊ตเป็นหนึ่งในพืชที่ได้รับความนิยมสูงสุดในดินแดนแถบนั้น ในปัจจุบันประเทศที่มีการผลิตข้าวโอ๊ตเพื่อการค้ามากที่สุดได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนีโปแลนด์ และฟินแลนด์
ข้าวโอ๊ตมีสารอาหารหลักที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
เส้นใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ วิตามินกลุ่มบีช่วยเผาผลาญ ย่อยสลาย และดูดซึมสารอาหารที่อยู่ในตับจึงทำให้ตับแข็งแรง วิตามินอีกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดชะลอความแก่ ธาตุเหล็กจำนวนมากและในข้าวโอ๊ตช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ข้าวโอ๊ตมีสารอาหารที่สำคัญในการขจัดสารพิษ ได้แก่
- เส้นใยอาหาร : ข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารช่วยดูดซึมน้ำ เพิ่มปริมาณและความอ่อนตัวของอุจจาระกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้เพิ่มแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กระตุ้นให้สารพิษขับออกจากร่างกายพร้อมอุจจาระในเวลาที่เหมาะสม ลดการสัมผัสระหว่างสารพิษกับผนังลำไส้นอกจากนี้ ยังลดปริมาณการดูดซึมและการก่อตัวของไขมันที่มีฤทธิ์เป็นกลางในร่างกายอีกด้วย ช่วยลดไขมันในเลือด ป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจและโรคอ้วน
2 บีตากลูแคน: ข้าวโอ๊ตมีบีตากลูแคน ซึ่งเป็นเส้นใยอาหารที่ละลายในน้ำชนิดหนึ่ง ช่วยลดคอเลสเตอรอลและ ลิโพโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำในเลือด(คอเลสเตอรอลเป็นโทษต่อร่างกาย) และยังดูดซึมกรดน้ำดีในลำไส้และขับออกจากร่างกายกระตุ้นให้ตับนำคอเลสเตอรอลในเลือดมาผลิตกรดน้ำดี ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
- วิตามินอี: วิตามินอีในข้าวโอ๊ต ช่วยกำจัด อนุมูลอิสระที่เป็นโทษต่อร่างกายป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆและชะลอความแก่
- โพแทสเซียม: ช่วยขับเกลือส่วนเกินออกจากร่างกาย รักษาความสมดุลของความเป็นกรดและด่างป้องกันการสะสมของโซเดียมมากเกินไปจนทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูง ช่วยในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
ข้าวโอ๊ตยังเหมาะสำหรับ คนทั่วไป วัยกลางคน และผู้สูงอายุ และโดยเฉพาะสำหรับ
- ผู้มีอาการท้องผูกเป็นประจำ ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ ผู้ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง
- สำหรับทำเป็นอาหารเสริมสำหรับสตรีผู้ที่เพิ่งคลอดบุตร
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องกระดูกพรุนและกระดูกหักง่าย
- ผู้ป่วยโรคโลหิตจางหรือ ผู้กำลังรอให้แผลแห้งสมาน
แต่ข้าวโอ๊ดไม่เหมาะสำหรับ
1.ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้กลูแทน
- เด็กเล็กไม่ควรรับประทานเยอะ
นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังถูกนำไปดัดแปลงเป็นอาหารเช้าหรือของหวาน อาหารที่กินคู่กันได้กับข้าวโอ๊ต แล้วได้ประโยชน์ ได้แก่
1 ข้าวโอ๊ต กินคู่กับ หน่อไม้ฝรั่ง จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมโฟเลต
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ การกินข้าวโอ๊ตที่มีวิตามินบี6 คู่กับหน่อไม้ฝรั่งมีโฟเลต ช่วยกระตุ้นการดูดซึมโฟเลตของร่างกาย ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตในเด็กและป้องกันโรคโลหิตจาง
2.ข้าวโอ๊ต กินคู่กับ สาหร่าย เมื่อกินร่วมกันแล้วจะทำให้สาร แอนติออกซิแดนต์ทำงานได้ดีขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ วิตามินเอในข้าวโอ๊ตจะจับตัวกับซีลีเนียมในสาหร่าย ส่งผลให้สารแอนติออกซิแดนต์ ทำงานได้ดีขึ้น กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็ง
ส่วนข้าวโอ๊ตไม่ควรกินคู่กับอะไรมีดังนี้คือ
1 ข้าวโอ๊ต กินคู่กับ แอปเปิล จะทำให้ขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียม
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ เมื่อกินข้าวโอ๊ตมีแคลเซียมคู่กับแอปเปิลที่มีกรดออกซาลิก สารทั้งสองชนิดจะรวมตัวกันกลายเป็นแคลเซียมออกซาเลตที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ยาก หากกินไนปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายขาดแคลเซียมและเป็นตะคริว
2 ข้าวโอ๊ตกินกับเนื้อวัว ไม่ควรกินด้วยกันเพราะจะทำให้ขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็ก
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ เมื่อกรดโฟติกในข้าวโอ๊ตรวมตัวกับธาตุเหล็กในเนื้อวัว จะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กและแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ ในเนื้อวัวเข้าสู่ร่างกาย
แม้ว่าการกินข้าวโอ๊ตจะมีประโยชน์หลายอย่าง แต่หากกินมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดโทษได้ เช่น ท้องอืดนอกจากนี้กรดไฟติกจำนวนมากในข้าวโอ๊ตจะขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุ เช่น ธาตุเหล็กและแคลเซียมของร่างกายอีกด้วย ทาง SN อาหารเพื่อสุขภาพ หวังว่าทุกท่านสามารถเลือกอาหารการกินให้เหมาะสมกับตัวท่านเองได้