คนติดรสชาติหวาน ควรระวัง

คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง  ไม่ได้หมายถึงแค่ผู้ป่วยเป็นเบาหวานเท่านั้น  แต่หมายรวมถึงคนชอบกินขนมหวาน ผลไม้หวาน น้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต ขนมปัง เป็นต้น รับประทานปริมาณมากเป็นประจำ   เพราะคนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้เลือดเหนียวข้น   เลือดไหลช้าลงนำสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ช้าลง  ประสิทธิภาพในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อลดลง เส้นเลือดฝอยตีบตันได้ง่าย  ส่งผลให้หลอดเลือดและอวัยวะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว  ไม่ต่างจากคนที่เป็นเบาหวานสักเท่าไหร่

(จากหนังสือสุขภาพดี อายุยืน คุณทำเองได้)

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ว่าการกินหวานกินคาร์โบไฮเดรตมาก จะไม่ได้ทำให้เป็นโรคเบาหวานโดยตรงไม่ได้ทำให้เป็นโรคเบาหวานโดยตรง  แต่การที่ร่างกายได้รับน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตมากเกินเป็นประจำ  ตับอ่อนก็จะทำงานหนักในการผลิตอินซูลิน เมื่อรวมกับผลจากการมีน้ำตาลในกระแสเลือดสูงหลอดเลือดที่ตับอ่อนและตัวตับอ่อนเอง  ก็จะเสื่อมอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็จะกลายเป็นเบาหวานอยู่ดี

 

นอกจากนี้คนที่ชอบกินอาหารหวานก็จะมีความเสี่ยงเป็น โรคมะเร็งตับอ่อน ด้วยเพราะตับอ่อนจะต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลิน มีผลสรุปว่าผู้ที่ชอบกินอาหารที่ใส่น้ำตาล เช่น ชา กาแฟ ธัญญาหารวันละ 5-6 มื้อ  มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน มากกว่าคนที่ไม่ใส่น้ำตาลถึง 69%   ในขณะที่ผู้ชอบดื่มน้ำอัดลมวันละ 2 หน หรือมากกว่านั้นมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับอ่อนมากกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 93% ผู้ที่ชอบกินผลไม้หวาน ๆ ผลไม้กวนก็เสียงมากกว่าคนปกติ 51%

 

นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ชอบกินคาร์โบไฮเดรตกินหวานบ่อยๆความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายจะเสียไป  ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง  ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย

อีกทั้งการกินน้ำตาลซูโครส(น้ำตาลทราย  น้ำหวาน  )มาก  จะทำให้กรดอะมิโนมีชื่อว่าทริปโตฟาน   ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไปทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง  ส่งผลให้เกิดอาการเซื่องซึม  เหนื่อย  ไม่กระฉับกระเฉง  ซึ่งหากเป็นเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

ส่วนผู้ที่กินหวานหรือคาร์โบไฮเดรตมากๆ  หรืออาหารที่สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็ว  จนระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจำนวนมากิ เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด  ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว  ระดับน้ำตาลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้  จะทำให้สมองและระบบประสาททํางานผิดเพี้ยนไป จนมีอาการหงุดหงิด  หิวโซ  ใจสั่น  ไม่มีแรง

 

นอกจากนี้หากเรากินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปจะทำให้มีน้ำตาลส่วนเกินในเลือดมากเกินความต้องการ ร่างกายก็จะมีการเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นไขมันสะสม  ทำให้อ้วนขึ้น  และน้ำตาลส่วนเกินนั้นยังจับโปรตีนในร่างกาย  ทำให้หลอดเลือดมีโอกาสอักเสบและอุดตันได้  การกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปจึงสามารถส่งผลร้ายต่อโรคไขมันในเลือด  และโรคหัวใจได้อีกด้วย

 

สัญญาณที่บอกว่า เรา ติดหวาน หรือไม่ มีลักษณะดังนี้

  1. รู้สึกอยากกินของหวานทั้งวันโดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร

2 . อยากกินแป้งในตอนเช้าและตอนดึกๆในปริมาณที่มากกว่าปกติ

  1. เริ่มมีปัญหาเครียดสะสมหงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
  2. ติดกาแฟ ติดน้ำตาล และติดแอลกอฮอล์ รวมถึงเครื่องดื่มทุกอย่างต้องใส่น้ำตาลในปริมาณมาก

 

กองโภชนาการ กรมอนามัย  ได้มีการแนะนำปริมาณน้ำตาลที่พอเหมาะสมต่อวันดังนี้

เด็กอายุ 6 – 13 ปี ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน  4 ช้อนชา

วัยรุ่นหญิงและชาย  อายุ 14- 25 ปี  ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน  6 ช้อนชา

ผู้ชายทำงาน อายุ 25- 60ปีควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน6 ช้อนชา

ผู้หญิงวัยทำงาน  อายุ 25- 60ปีควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน4 ช้อนชา

ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป  ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน  4 ช้อนชา

คนที่ใช้พลังงานมาก อย่างเช่น   เกษตรกร  นักกีฬา อายุ 25- 60ปีควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 8 ช้อนชา

 

ทาง  SN Food อาหารเพื่อสุขภาพขอแนะนำว่าให้รับประทานน้ำตาลแต่พอเหมาะสม น้ำตาลถึงแม้จะมีรสชาติหวาน แต่รู้หรือไม่ว่าน้ำตาลถึงแม้จะมีรสหวานและให้พลังงานแก่เราได้บางส่วนก็ตาม    แต่ก็ส่งผลร้ายได้มากมายจนคาดไม่ถึง  มีผลกระทบต่อสุขภาพและโรคตามมาอีกมายมาย เช่น  โรคอ้วน  ไขมันในเลือดสูง  ความดันเลือดสูง    โรคหัวใจขาดเลือด  โรคเบาหวาน   ฟันผุ  ปวดท้อง ท้องอืด   ผิวแก่ก่อนวัย  ซึ่งไมดีต่อสุขภาพเลยแม้แต่น้อย

อาหารสายยาง, อาหารสุขภาพ, อาหารผู้ป่วย, อาหารเหลว